ย้อนกลับไปในยุคต้นปี 2000 โทรศัพท์เคลื่อนที่ยอดนิยมคงหนีไม่พ้น Nokia ซึ่งในเวลานั้นได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นแบรนด์ผู้นำนวัตกรรมด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยทาง Nokia ก็ได้มีการพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเองขึ้นมาที่ชื่อว่า “ซิมเบี้ยน” ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ Nokia ชะล่าใจ และมองเกมผิด
เมื่อเข้าสู่ยุคสมาร์ทโฟน และจอสัมผัส แบรนด์อื่นๆต่างออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ แต่ Nokia ยังคงดื้อดึงออกผลิตภัณฑ์โทรศัพท์หน้าตาเดิมที่มีปุ่มกด ไม่ยอมให้โทรศัพท์ของตัวเองใช้ระบบแอนดรอยด์ และพยายามพัฒนาระบบซิมเบี้ยนเพื่อรักษาลูกค้าไว้ เมื่อเวลาผ่านไป ลูกค้าก็ได้ให้คำตอบแก่ Nokia ผ่านยอดขายที่ตกลงอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดต้องยอมขายกิจการให้ Microsoft และกลายมาเป็น Window phone ต่อมา (ซึ่งก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก)
คำพูดของ CEO บริษัท Nokia ในวันที่ขายกิจการนั้น สะท้อนถึงทัศนคติการบริหารได้อย่างชัดเจน นั้นก็คือ “เราไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงแพ้” หากพูดอย่างตรงไปตรงมาคงตอบได้เพียงว่า Nokia มั่นใจในตัวเองมากเกินไป ว่าสามารถเป็นผู้นำตลาดมือถือได้อีกครั้ง เพราะก็เคยเป็นมาก่อนแล้วจริงๆ ถึงได้เดินหน้าพัฒนาซิมเบี้ยนทั้งที่ผู้ใช้น้อยลง
เมื่อหันมามอง Apple ในปัจจุบัน ต้องยอมรับว่ามีสัญญาณหลายอย่างเกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว คำพูดของ Tim Cook ประธานบริษัท Apple ที่เคยกล่าวไว้ว่า “ถึงราคาแพง แต่ก็ยังมีคนซื้อ” ซึ่งเมื่อดูยอดขายในไตรมาสที่ผ่านมา จะค่อนข้างสวนทางกับคำพูดนั้นพอสมควร เพราะ iPhone XS ที่ออกมาใหม่นั้นไม่ได้มีจุดเด่นอะไรมาก รวมถึงราคาที่เหล่าสาวกบ่นว่าแพงเกินไป และรู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้มค่านัก
อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ยังคงศรัทธาในแบรนด์ของ Apple ในเรื่องคุณภาพ และการให้บริการหลังการขาย แต่ถ้าในสองสามปีนับจากนี้ Apple ไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆออกมาที่สร้างความ”ว้าว”ได้เหมือนสมัย Steve Jobs รวมถึงยังคงตั้งราคาสินค้าที่สูงแบบนี้ อนาคตเราอาจเห็นแอปเปิ้ลแพ้ภัยตัวเองเหมือนกับ Nokia … [อ่านต่อ]